หลายท่านคงสงสัยว่า ทำไมผมถึงอธิบายรายละเอียดของแต่ละกลิ่นได้ รวมถึงอ่านแล้วเห็นภาพตามได้ทันที
จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรครับ น้ำหอมทุกกลิ่นมีความรู้สึกของตัวมันเองอยู่

กลิ่นเป็นผัสสะหนึ่งในหกทวาร ที่สรรสร้างความรู้สึก รวมถึงดึงจิตไร้สำนึกได้ดีทีเดียว และกลิ่นยังเป็นผัสสะที่ละเอียด ลึกล้ำ จนสามารถใช้เพื่อก่อให้เกิด "ภพ" ในใจ หรือบางทีก็คล้ายๆ "เดจาวู" ได้ทีเดียว

น่าเสียดายที่ประเทศไทยเราไม่มีนักปรุงน้ำหอมมากนัก เท่าที่ผมรู้จัก ก็ไม่มีเลย(แล้วจะพูดทำไมเนี่ย) ทั้งๆที่อาชีพนี้ เป็นได้ทั้งงานอดิเรก และอาชีพเงินล้าน แต่คนไทยก็อย่างนี้แหละ ชอบละเลยของใกล้ตัว ทั้งๆที่ประเทศเรามีพืชที่สกัดกลิ่นหอมได้มากมาย

หากคุณเริ่มสนใจที่จะเป็นนักปรุงน้ำหอม คุณสามารถลงมือทำได้ทันที ปราศจากเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
ไม่จำเป็นต้องเรียนจบเคมี หรือรู้เกี่ยวกับเคมี
ไม่จำเป็นต้องรู้จักน้ำหอมมากมาย
ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "จินตนาการ"

ไม่เคยมีจิตรกรคนไหนน้ำเสนอผลงานสุดสาวยของเขาแล้วอธิบายว่า ผมวาดภาพนี้ด้วยสีที่ผลิตจากสารเชิงซ้อนของโคบอลต์
ทั้งๆที่เขาใช้สีตัวนี้อยู่ทุกวัน มันไม่สำคัญอะไรเลยครับ .... เก็บงานผลิตให้นักเคมีทำดีกว่า
แล้วคุณก็แค่ใช้มันอย่างมีคุณค่า

เช่นเดียวกับการเล่นดนตรี การผสมน้ำหอมหนึ่งกลิ่นจะผสมด้วยแม่กลิ่นหลายๆกลิ่น และอาจทำให้มีจุดเด่นด้วยโน๊ตฟิเนเลเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้น ดังนั้นพอจะมองออกแล้วใช่มั๊ยครับ จุดเริ่มต้นของน้ำหอมคือการที่เราต้องรู้จักแม่กลิ่น เหมือนการเล่นดนตรี ที่เราต้องรู้จักโน๊ตต่างๆนั่นเอง

ผมขออธิบายแม่กลิ่นพื้นฐาน ที่ผมจำแนกไว้เองดังนี้ครับ

1. Aldehyde - แม่กลิ่นอัลดีไฮด์ แม่กลิ่นที่ให้กลิ่นเป็นโทนอบอวล นุ่มนวล และมันเลี่ยน กลิ่นของมันจะทำให้รู้สึกหรูหรา และเมื่อปล่อยกลิ่นไปได้ซักพัก จะแปรสภาพกลิ่นให้เป็นกลิ่นคล้ายๆผงแป้ง (Powdery) แม่กลิ่นนี้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปผสมกับแม่กลิ่นดอกไม้ (Floral) เพื่อทำให้น้ำหอมมีความหรูหรา และนุ่มนวล มักใช้ในปริมาณไม่กี่เปอร์เซ็นต์เนื่องจากกลิ่นที่มากเกินไป จะทำให้ปวดศีรษะได้
น้ำหอมที่ใช้แม่กลิ่นนี้ได้แก่ Chanal No.5

2. Chypre - แม่กลิ่นชิพเปอร์ หรือแม่กลิ่นผงฝุ่น เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกเก่า คลาสสิค อนุรักษ์นิยม ชวนจินตนาการถึงภาพสีน้ำมันราคาแพง ที่มีฝุ่นเกาะหนาเตอะ หนักแน่น และเป็นผู้ดี กลิ่นแนวนี้เป็นกลิ่นสำหรับธาตุดินโดยสมบูรณ์ มักถูกนำไปผสมผสานกับกลิ่นนวลๆของไม้หอม และกำยานต่างๆ ใช้ได้ไม่จำกัดเปอร์เซ็นต์
น้ำหอมที่ใช้แม่กลิ่นนี้ได้แก่ Aramis / Ceruti

3. Citrus - แม่กลิ่นแห่งความสดชื่นของพืชตระกูลส้ม เป็นแม่กลิ่นที่ให้กลิ่นที่สดชื่นที่สุด หอมเปรี้ยว และสะอาด สามารถใช้โดดๆ เพื่อแต่งกลิ่นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ และถูกนำมาใ้ช้ผสมกลิ่นน้ำหอมในช่วงหลังนี้มากมาย โดยเฉพาะน้ำหอมกลิ่นผู้ชายที่เน้นความสดใส เป็นวัยรุ่น และสะอาดสดชื่น มักใช้ผสมกับเบอร์กาม็อท โน๊ตสีเขียว(จะกล่าวต่อไป) และมะลิ
น้ำหอมที่ใช้แม่กลิ่นนี้ได้แก่ Aqua di gio / Energise

4. Conifer - แม่กลิ่นลูกสน แม่กลิ่นที่ให้โทนกลิ่นที่คล้ายกับโทน Woody อื่นๆ แต่มีความเลี่ยนเอียนในปลายกลิ่น บุคลิกหลักของกลิ่นนี้คือการให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ไอดิน กลิ่นฟาง แต่เมื่อทิ้งกลิ่นให้แห้งแล้ว จะมีความเป็น Powdery เช่นกัน กลิ่นนี้มักใช้ในน้ำหอมผู้ชาย เพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
น้ำหอมที่ใช้แม่กลิ่นนี้ได้แก่ -

5. Floral - แม่กลิ่นดอกไม้ แม่กลิ่นที่ให้ความหวานแบบนวลๆ มีการพุ่งของกลิ่นที่รุนแรงสามารถจำแนกได้ง่าย และเป็นแม่กลิ่นที่สำคัญของน้ำหอมทุกชนิด เรียกว่าทุกขวดในโลกนี้เลยล่ะ แม่กลิ่นนี้สามารถใช้ได้ในหลายๆอัตราส่วน และมีผลต่อการเบนอารมณ์ของกลิ่นเช่นเดียวกัน (ใช้เยอะอาจหวานแบบผู้หญิง แต่หากใช้ผสมกับโน๊ตไม้ๆ อาจเหมาะสำหรับผู้ชายขี้เล่น)
น้ำหอมที่ใช้แม่กลิ่นนี้ได้แก่ - Beyond paradise / Miyake

6. Fruity - แม่กลิ่นผลไม้ แม่กลิ่นที่ให้ความหวานละมุน ที่มีปลายกลิ่นเป็นโทนกลิ่นสังเคราะห์ ที่หอมล้ำลึกไปถึงตับถึงไต มักใช้กับน้ำหอมผู้หญิง และผลิตภัณฑ์เพื่อความสะอาดมากมาย ใช้ในอัตราส่วนที่หลากหลาย เป็นได้ทั้งผู้นำและผู้ตาม และใช้ผสมกับโน๊ตโทนซิตรัส และฟลอรังได้เป็นอย่างดี
น้ำหอมที่ใช้แม่กลิ่นนี้ได้แก่ Fragile / DKNY Red Delicious

7. Green หรือกลิ่นหญ้า กลิ่นยาง โทนกลิ่นนี้จะเพิ่มความแหลมคมให้กับน้ำหอม ให้ความรู้สึกสะอาด เฝื่อน ฝาด สาก และถ้ามากเกินไป จะขมจนเวียนหัว โดยปกติจะใช้โน๊ตนี้เพียง 1-3% มักใช้ผสมในการปรุงน้ำหอมผู้ชายโทนนักกีฬา หรือผลิตภัณฑ์สุขอนามันยเช่น Aftershave โน๊ตนี้จะผสมผสานกันได้อย่างลงตัวกับตระกูล Chypre นับเป็นโน๊ตที่สำคัญ แต่ใช้ยากเพราะต้องคำนึงถึงสัดส่วนที่ดีมากๆนั่นเอง

8. Herb หรือกลิ่นตระกูลพฤกษา เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกสีเขียวเช่นเดียวกัน Fresh green แต่ว่าต่างกันตรงที่โทนนี้จะมีเป็นสีเขียวข้นๆ ให้กลิ่นแบบน้ำผักต่างๆ มีความหอมสะอาด ฝาด เฝื่อนในตอนตัน และละมุนราวกับนมสดในปลายกลิ่น ไม่ค่อยนิยมใช้ผสมน้ำหอมต่างๆ เนื่องจากอาจทำให้เวียนหัวได้ แต่นิยมใช้ผสมทำน้ำหอมสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อความสะอาด เช่น แชมพู และสบู่ต่างๆ

9. Leather นับเป็นกลิ่นที่มีประโยชน์ในการทำน้ำหอมผู้ชายอย่างแพร่หลาย โดยส่วนใหญ่แล้วกลิ่นหนังสัตย์นี้ มักจะเป็นสารสังเคราะห์เพื่อเลียนแบบ ให้ความรู้สึกเงางาม คลาสสิค ลุ่มลึก สุภาพ ถึงแม้ว่าโน๊ตจะชื่อว่าหนังสัตว์ แต่ส่วนใหญ่กลิ่นในกลุ่มนี้ มาจากพืชทั้งสิ้น เช่น Blue Guava, Lavender hint เป็นต้น เข้ากันได้ดีกับกลิ่นโทนควัน และนำไปใช้แต่งเป็นกลิ่นฐาน (Base note) ได้เป็นอย่างดี ปริมาณที่ใช้กัน แปรผันตามความสำคัญของกลิ่นสิ้นสุด

10. Musk กลิ่นอ่อนๆ ที่มีศักยภาพแข็งแรงที่สุดในทุกโน๊ต เนื่องจากเป็นเสมือนตัวกลางที่ปรับสภาพน้ำหอมให้ดูดีขึ้นในทันที ด้วยความหอมอ่อนๆ แต่เมื่อผสมกับโน๊ตอื่นแล้ว จะทำให้เกิดความละมุน อบอุ่น เจื่อจาง และหวานที่ปลายกลิ่น สามารถเป็นได้ทั้งแม่กลิ่น และกลิ่นรองในเวลาเดียวกัน จึงไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัวในการใช้ น้ำหอมยี่ห้อดังๆหลายยี่ห้อใช้โน๊ตนี้กันทั้งนั้น ที่เห็นชัดเจนคือ White musk ของ The body shop

เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยคือ ในสมัยโบราณกลิ่นนี้ได้จากไขของสัตว์ตัวผู้ ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถดึงดูดเพศเมียได้เป็นอย่างดี กลิ่นแท้ๆของ Musk จะมีกลิ่นคล้ายกับน้ำเชื้อของผู้ชาย 

11. Marine กลิ่นแห่งความลุ่มลึกของท้องทะเล มักจะสกัดได้จากสาหร่าย แต่ที่นิยมใช้กันคือกลิ่นโทนสังเคราะห์ของสารจำพวก อัลดีไฮด์ และคีโตน นิยมใช้ผสมกันแพร่หลายในกลุ่มน้ำหอมผู้ชาย(อีกแล้ว) ให้ความรู้สึกสดชื่น สะอาด และลึกลับ มักใช้ผสมกับโน๊ตโทนกรีน และหนัง โดยมีซิตรัสเป็นตัวนำ

12. Muglet หรือโน๊ตกลิ่นหอมจรุง ฟุ้งกระจาย จากดอกลิลี่หุบเขา ให้ความรู้สึกหอมหรู สวยสง่า นิยมใช้เป็นหัวใจกลิ่น ผสมกับกลิ่นจางๆอย่างอื่น หรือผสมกับโน๊ตที่ฉุนกว่าไปเลย เช่น เจอราเนียม มะลิ กุหลาบ แต่หากใช้มากไป กลิ่นจะโหลคล้ายๆกับสเปรย์ปรับอากาศทันที จึงมักใช้ไม่เกิน 10% และใช้ผสมกับโน๊ตจางจะดีกว่า